satiric-illustrations-john-holcroft-7

14 ภาพวาดสะท้อนถึงสังคมในศตวรรษที่ 21

Jonh Holcroft เขาเป็นที่รู้จักกันดีในนามของนักเขียนการ์ตูนชาวอังกฤษ เขาได้วาดภาพสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาสังคมและพฤติกรรมของมนุษย์ในปัจจุบัน โดยมุ่งเน้นไปในเรื่องของมนุษย์สมัยใหม่มักพึ่งพาเทคโนโลยีมากกว่าสิ่งอื่น ทำให้มนุษย์นั้นเกิดความโลภและทำให้คุณค่าของมนุษย์นั้นถูกบั้นถอนลง จนสังคมอาจมองว่าภาพของเขานั้นเป็นการเสียดสีสังคมยุคใหม่ และผู้เขียนได้แทรกเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับรูปภาพต่างๆมาเป็นเกร็ดความรู้ทั้งด้านทางโลกและทางธรรมให้ทุกท่านได้อ่านกันค่ะ

1. Like ยิ่งมาก Ego ยิ่งสูง

มาทำความรู้จักกับ EGO กันเถอะ!

EGO เป็นหนึ่งในทฤษฎีบุคลิกภาพของ ซิกมัน ฟรอยด์ (Sigmund Freud) นักจิตวิทยาแบบจิตวิเคราะห์ คิดค้นทฤษฏีจิตวิเคราะห์กล่าวว่าโครงสร้างบุคคลิภาพนั้นเป็นพลังแสวงหาความสุข (Pleasure Ceeking Prenciple) ซึ่งเกี่ยวข้องกับความต้องการต่างๆ โดยไม่คำนึงถึงความดีงาม และสิ่งเหล่านี้ได้ติดตัวมนุษย์มาตั้งแต่เกิด จิตของมนุษย์จึงถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน Id, Ego และ Super Ego เป็นพลังผลักดันให้บุคคลมีพฤติกรรมต่างกัน แต่เราจะมาทำวามรู้จักกับคำว่า “EGO” กัน EGO หรือที่ใครหลายๆคนมักใช่พูดกันว่า “เขาเป็นคน Ego สูง” กันดีกว่า

EGO เป็นพลังแห่งการรับรู้ความเข้าใจ รู้ข้อเท็จจริงว่าอะไรดีหรือไม่ดี พลังของอีโก้จะทำให้เรานั้นบรรลุเป้าหมายที่ตนเองได้ตั้งไว้ เพื่อตอบสนองต่อความสุข อีโก้มีข้อดีก็คือช่วยเป็นแรงผลักดันให้ตนนั้นประสบความสำเร็จตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ หรือเป็นคนที่คิดอย่างมีเหตุผลและมีหลักการที่ดี แต่เมื่อมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียที่แอบแฝงอยู่คือ หากมี EGO มากเกินไปก็จะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว

ดังนั้นรูปภาพดังกล่าวจึงต้องการจะสื่อถึงความนิยมชมชอบที่มนุษย์มอบให้เขาโดยการกด Like นั้นถือเป็นแรงผลักดันให้คนๆนั้นมี Ego ทางด้านความคิด และการยกระดับตัวเองมากขึ้นว่าสิ่งนั้นดี ภาพนั้นสวย มีผู้คนมากมายหลงหรือชื่นชอบในตัวฉันเพราะฉันน่ารัก ทั้งๆที่สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่เราให้ค่าของมันด้วยตัวของเราเอง เมื่อคนเรามีอีโกสูงขึ้น ก็จะเกิดความหย่อหยิ่ง และความหลงใหลในตัวเอง ทำให้คนเหล่านั้นแสดงความพฤติกรรมและมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างจากเดิม จนบางที Like ก็เปรียบเสมือนสุนัขที่รออาหารจากเจ้าของ ว่ามื้อนั้นเจ้าของจะให้มากหรือน้อย ถ้าได้มากก็จะรู้สึกดีใจและอยากได้เพิ่ม แต่ถ้าได้น้อยก็จะรู้สึกไม่พอใจ

2. Happiness of packet

อะไรคือความสุข ?

ความสุขจากการเป็นผู้รับหรือสุขจากการเป็นผู้ให้ ความสุขของคนเรานั้นมีระดับที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพและฐานะทางสังคม บางคนอาจจะมีความสุขจากการที่ได้นั่งทานอาหารร่วมกัน ได้เห็นรอยยิ้ม ได้ยินเสียงหัวเราะ และได้มอบความรักให้แก่คนในครอบครัวและคนที่เรารัก ซึ่งความสุขแบบนี้เรียกว่า ความสุขทางใจนั้นเอง หากเป็น Happiness of pacget นั้นจะเป็นการรวมกันของความสุขทางจิตใจและความสุขทางวัตถุมารวมกัน เช่น ความสุขจากการออกไปเที่ยว เพราะบางคนเชื่อว่าการที่เราได้ไปเที่ยวนั้นเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังทำให้ได้เปิดมุมมองและได้รับประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิต ความสุขจากการเล่นดนตรี ร้องเพลงหรือฟังเพลง นั้นช่วยลดความเครียด กระตุ้นแรงบันดาลใจในการทำงานหรือทำสิ่งต่างๆ ทำให้เลือดสูบฉีดได้ดีขึ้น และทำให้หงุดหงิดได้อยากขึ้น ความสุขจากการได้ซื้อของ คุณผู้หญิงและคุณผู้ชายเป็นเหมือนกันแต่เท่าที่สังเกตจะเห็นว่าความสุขจากการซื้อของนั้นคงต้องยกให้ผู้หญิงแล้วล่ะ เพราะได้ขึ้นชื่อว่านัก Shopping มือโปร ทำไมการซื้อของหนึ่งชิ้นหรือหลายชิ้นจึงถือว่าเป็นความสุข? ก็เพราะว่าหลายคนนั้นมีความอยาก และความฝันที่จะมีสิ่งของที่คุณชอบสักอย่างมาเป็นของตัวเอง เช่น รถยนต์ กีตาร์ เปียโน กระเป๋า นาฬิกา เป็นต้น และสุดท้ายคือคามสุขจากการกิน ก็คือเมื่อได้รับประทานอาหารที่อร่อย ถูกปากและดีนั้นก็จะทำให้มีความสุขอย่างน่าอัศจรรย์

3. หมอก็เหมือนเครื่องเล่น ถ้าไม่มีเงินก็เล่น(รักษา)ไม่ได้

หมอ ?

แพทย์หรือหมอนั้นเป็นอาชีพที่คนส่วนใหญ่ใฝ่ฝัน แต่รู้หรือไม่ว่าการที่แพทย์จะทำการรักษาคนหนึ่งคนนั้นจะต้องใช้ความรู้ ความเข้าใจ และประสบการณ์ที่สะสมมามาใช้ในการรักษา ดังนั้นการที่คนไข้หนึ่งคนเดินเข้าไปหาหมอหนึ่งคนก็เท่ากับเราได้มอบแขนหนึ่งข้างให้กับเขาไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคนที่มีอาชีพเป็นหมอไม่ควรมองแค่ฉันอยากมีอาชีพนี้เพราะเงินดี แต่ให้มองควบคุมไปถึงศีลธรรม จรรยาบรรณด้วยว่า เรามีหน้าที่ช่วยเหลือคนไข้ที่ได้รับการเจ็บป่วยอย่างเต็มที่ แม้คนๆนั้นจะไม่ใช่คนมีฐานะเราก็ควรจะรักษาให้เขาหายและกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติ

หากพิจารณาจากรูปดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่าเป็นอีกหนึ่งภาพที่สะท้อนสังคมว่า การรักษาของแพทย์(บางคน)ในปัจจุบันนั้นจะรักษาได้อย่างเต็มที่หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก นั้นก็คือเงิน หากผู้ป่วยรายไหนที่มีฐานะก็จะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากคนไข้รายนั้นมีเงินน้อยก็อาจจะได้รับการรักษาที่ไม่ดีเท่าที่ควร ทั้งนี้ทั้งนั้นข้อความข้างตันเป็นเพียงการตีความข้อภาพเท่านั้นแต่ถ้าจะมองให้ลึกลงไปก็จะมองได้อีกแง่หนึ่งคือไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรก็ตาม ก็มักจะมีเรื่องของเงินหรือรายได้เขามามีส่วนอยู่แล้ว เพราะเงินก็ถือเป็นส่วนที่ทำให้เรามีปัจจัย 4 นั้นก็คือ อาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค หากเราไม่มีทรัพย์หรือเงินมนุษย์ก็จะไม่สามารถใช้ชีวิตได้เพราะขาดปัจจัย 4 นั้นเอง

4. ผลของบุหรี่หนึ่งมวน

เสียเงินไม่พอ ยังเสียสุขภาพด้วย..

ทำไมเธอถึงสูบบุหรี่? หลายคนที่โดนถามคำถามนี้ก็มักจะตอบว่า “สูบเพราะเครียด สูบเพราะเท่ห์ สูบแล้วทำให้สวยขึ้น สูบแล้วทำให้ผอมลงและอีกหลากหลายเหตุผล” แต่ถ้ามองลึกลงไป สิ่งที่ผู้สูบนั้นได้กล่าวมาเป็นเพียงข้อดีที่พวกเขานั้นรู้สึกได้ว่ามันดี แต่ไม่ได้มองข้อเสียระยะยาวเลยว่าสุขภาพของคุณนั้นจะดีหรือไม่เรามาดูข้อเสียของเจ้าบุหรี่กันว่ามีอะไรบ้าง

ข้อเสียหรือผลกระทบของบุหรี่นั้นถูกแบ่งออกเป็น 2 ระยะด้วยกันนั้นก็คือ ผลกระทบระยะสั้นและระยะยาวกล่าวคือ ผลกระทบระยะสั้นคือ  ประสาทสัมผัสของการรับรู้กลิ่นและรส จะทำหน้าที่ได้ลดลง แสบตา น้ำตาไหล ขนอ่อนที่ทำหน้าที่พัดโบก เพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมภายในหลอดลมเป็นอัมพาต หรือทำงานได้ช้าลด ระดับคาร์บอนมอนอกไซด์ในปอด และในกระแสเลือดเพิ่มสูงขึ้น มีกลิ่นตัวและมีลมหายใจที่เหม็น ส่วนผลกระทบระยะยาวนั้นก็คือ โรคมะเร็งปอด โรคเส้นเลือดหัวใจตีบทำให้หัวใจขาดเลือด มีความเสียงต่อการเกิดอาการหัวใจวาย ถุงลมโป่งพอง และทำใหสมรรถภาพทางเพศเสื่อม

หากข้อเสียที่ผู้เขียนได้กล่าวมาข้างต้นนั้นมีมากกว่าข้อดี ผู้เขียนจึงขอแนะนำให้ลด ละ และเลิกสูบบุหรี่เถอะค่ะ เพราะนอกจากสุขภาพจะเสียแล้วยังเสียทรัพย์มากมาย สู้ว่าหากเราหาวิธีในการลดความเครียดอย่างฟังเพลง เล่นกีฬา หรือการเล่นดนตรีก็อาจจะช่วยลดความเครียดหรือความทุกข์ไปได้และไม่เสียสุขภาพอีกด้วย

5. ทาสสัญญา

หลายครั้งที่เรามักจะรับปากทำสิ่งๆหนึ่งให้กับคนอื่น หรือสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะ “ฉันจะ…..ฉันสัญญา” และเมื่อถึงเวลาก็มักจะทำตามสัญญาดังกล่าวไม่ค่อยได้เพราะมีเรื่องหรือเหตุการณ์มาทำให้เราไม่สามารถทำตามข้อตกลงนั้นๆได้ ซึ่งการทำตามสัญญานั้นถือว่าเป็นหน้าที่พื้นฐานทางคุณธรรมและจริยธรรม เพราะการสัญญาหรือการรับปากนั้นก็ถือว่าเป็นหน้าที่ของคนแต่ละคนที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อคำพูดของตนเอง การรักษาสัญญาจะทำให้เกิด Self Protection หรือทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกัน มีความเห็นอกเห็นใจและช่วยเหลือซึ่งกันและกันมากขึ้น

6. Outsource Office works

Outsource คืออะไร?

Outsource หรือการจ้างพนักงานแบบชั่วคราวนั้นหมายถึง การว่าจ้างบริษัทหรือบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆเป็นการเฉพาะ เข้ามาทำงานนั้นๆแทนให้ทั้งหมดหรืออาจจะเป็นแค่เพียงในบางส่วน โดยที่สำคัญคือจะต้องไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานในภาพรวมของทางบริษัทด้วย ซึ่งอาจจะว่าจ้างรับเป็นชิ้นๆงานหรือเซ็นสัญญาว่าจ้างกันเป็นระยะเวลาแบบรายเดือนหรือรายปีก็สามารถทำได้ตามแต่ที่จะตกลงกันระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ที่รับจ้าง ซึ่งปัจจุบันระบบการทำงานในลักษณะของ Outsource กำลังเป็นที่ได้รับความนิยมสนใจในหมู่ผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กหรือที่เรียกว่า SME จนไปถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ประเภทข้ามชาติเป็นจำนวนมาก เพราะสามารถตอบสนองและเข้าถึงความต้องการในรูปแบบการทำธุรกิจในสถานการณ์ปัจจุบันได้เป็นอย่างดี

ประโยชน์ของการทำธุรกิจด้วยการใช้ Outsource คือ ต้นทุนค่าใช้จ่ายน้อยลง ไม่ต้องเสียเวลาฝึกพนักงานใหม่แถมยังเป็นพนักงานมืออาชีพทำให้ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าได้ ด้วยเหตุนี้เองจึงได้มีบริษัทส่วนมากจึงจ้าง Outsoruce มากขึ้นเพราะว่าหากบริษัทนั้นๆไม่พอใจต่อการทำงานดังกล่าวก็สามารถเปลี่ยนบริษัทได้ทันที

7. เห็นแก่ตัว โดยการตัดต้นไม้ทำลายป่า

ต้นไม้ 1 ต้นมีประโยชน์อย่างไรบ้าง?

ต้นไม้นั้นนอกจากจะให้ร่มเงาแล้ว ยังช่วยคายออกซิเจนในช่วงกลางวัน ทำให้เราได้รับอากาศที่บริสุทธิ์อันมีผลดีต่อสุขภาพ ช่วยดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจกและสภาวะโลกร้อน เป็นที่อยู่ของสัตว์น้อยใหญ่ พืช ผล สามารถนำมาเป็นอาหารและมาปรุงเป็นยารักษาโรค(บางชนิด)ได้ รากของต้นไม้ช่วยยึดผิวดินไม่ดินดินถล่ม และชะลอความแรงของน้ำ ลำต้นสามารถนำมาแปรรูปเป็น บ้าน และที่พักอาศัย ด้วยประโยชน์ที่หลากหลายของต้นไม้นี้เองจึงทำให้มนุษย์ที่เห็นประโยชน์ของต้นไม้มาทำเป็นประโยชน์ของตัวเอง โดยการตัดต้นไม้เพื่อนำต้นไม้เหล่านั้นมาแปรรูปหรือส่งออกเพื่อให้เกิดรายได้โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาเรียกว่า Butterfly Effect เป็นผลกระทบที่เกิดจากสิ่งเล็กๆ จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่นสภาวะโลกร้อนนั้นเอง

8. แรงดึงดูดจากแม่เหล็กตัวเดียวกัน

แรงดึงดูดที่เราเห็นในภาพนั้นก็คือแม่เหล็กขนาดใหญ่ ซึ่งแม่เหล็กขนาดใหญ่นั้นก็คือ บริษัทหรืองานที่เราจะต้องเดินเข้าไปทำในอนาคต ถ้ามองภาพกว้างๆก็คือหลังจากที่เรียนจบแล้วคนส่วนมากก็มักจะเดินไปในจุดเดียวกันคือ “หางานทำ” แต่ก็มีคนส่วนน้อยที่จะคิดส่วนทางกับคนอื่นๆ

9. มนุษย์ก้มหน้า...สังคมก้มหน้า

“มนุษย์ก้มหน้า” ศัพท์ใหม่ที่เกิดขึ้นในยุคของโซเชียลมีเดีย เพราะปัจจุบันคนทั่วไปจะมีโทรศัพท์หรือแท็บแล็ตกันคนละเครื่อง แล้วก็จะก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่อย่างนั้น การกระทำเหล่านี้ทำให้เราสนใจบุคคลรอบข้างได้น้อยลง จากที่เมื่อก่อนเราจะหันหน้ามามองกันบ้าง ทำให้เราได้เห็นรอยยิ้มหรือส่งยิ้มให้กันและกัน กล้าที่จะพูดคุยกันมากขึ้น แต่สมัยนี้ไม่กล้าพูดกันตรงๆแต่กลับบอกข้อความต่างๆผ่านทางการแชทบ้าง หรือการขึ้นสถานะบน Facebook บ้าง แทนที่จะยิ้มให้กันและกัน กลับยิ้มให้โทรศัพท์ แต่สิ่งที่น่ากลัวมากกว่านั้นก็คือ แม้แต่เวลาข้ามถนนหรืออยู่กลางถนน ก็ยังจ้องมองไปที่จอภาพ มากกว่าที่จะระมัดระวังตัวจากภยันตรายรอบข้าง บางทีได้รับสัญญาณก็ไม่รับรู้ เพราะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ปฏิสัมพันธ์ที่อยู่บนโลกไซเบอร์ ไม่ใช่ปฏิสัมพันธ์กับโลกแห่งความเป็นจริง หรือไม่ได้อยู่กับสติ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์มากขึ้น เพราะการเล่นโทรศัพท์นั้นทำให้เรามีสติในการทำอีกสิ่งหนึ่งน้อยลง ซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบตามมาภายหลัง

10. สิ่งที่เห็นช่างต่างจากความเป็นจริง

เวลาคุณส่องกระจก คุณรู้สึกอย่างไร ?

เชื่อว่าเมื่อเรานั้นส่องกระจกก็อยากที่จะเห็นเรือนร่างที่สวยงามกันใช่มัย แต่สิ่งที่เห็นกับความเป็นจริงมักจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงหากคุณดื่มเบียร์ เขาว่ากันว่า “ดื่มเบียร์วันละแก้วจะทำให้มีสุขภาพที่ดี” งั้นเรามาดูข้อดีของการดื่มเบียร์กัน ข้อดีข้อแรกเลยคือ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวาน ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ช่วยรักษาระดับความดันโลหิต ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และทำให้มีอายุยืน แต่ถ้าหากว่าดื่มมากเกินไปก็จะเกิดผลเสียต่อตับและทำให้อ้วนขึ้นอีกด้วย

11. เนื้ออันโอชะ

การไม่มีไขมันเป็นลาภอันประเสริฐนั้นเองยังไงมาดูกัน!

ไขมันที่อุดตันอยู่ใต้ผิวหนังของเรานั้นมักจะเกิดขึ้นตามบริเวณหน้าท้อง ซึ่งน้ำหนักตัวของเราจะมากหรือน้อยพุงอันน้อยอันมากของคุณบอกได้เลยทีเดียว ข้อดีและข้อเสียของไขมัน

ไขมัน เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตมนุษย์ เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายมีไขมันเป็นส่วนประกอบ วิตามินเอ ดี อี เคจำเป็นต้องใช้ไขมันในการดูดซึม นอกจากนี้ไขมันยังเป็นตัวช่วยห่อหุ้มอวัยวะและกระดูก ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื้นและยังช่วยให้ร่างกายมีความอบอุ่น ร่างกายสร้างไขมันบางชนิดไม่ได้ จำเป็นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น การได้รับไขมันในอาหารบ้างจะทำให้รู้สึกอิ่มนาน และเพิ่มความอร่อยให้กับอาหารด้วย

ในบางคนที่บริโภคอาหารที่มีไขมันสูงมากและบ่อยเกินไป ทำให้มีไขมันสะสมในร่างกายมาก อาจส่งผลให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ โดยเฉพาะการบริโภคไขมันชนิดไม่ดีร่วมกับการได้รับสารอาหารที่ไม่สมดุล ตัวอย่างเช่น กินของมัน ของหวานมาก แต่กินผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ น้อย ในทางตรงกันข้ามมีการศึกษาในกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มคนที่อาศัยอยู่แถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่บริโภคไขมันสูง แต่เป็นไขมันที่ได้มาจากมะกอกและน้ำมันมะกอกเป็นส่วนใหญ่ ประชากรกลุ่มนี้มีอัตราการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยมาก ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าไขมันที่บริโภคส่วนใหญ่เป็นไขมันชนิดที่ดี และอาหารอื่นๆ ที่พวกเขาบริโภคนั้นให้สารอาหารที่สมดุลกว่าด้วย ได้แก่ สารอาหารจากผัก ผลไม้ ธัญพืชเป็นหลัก เนื้อปลารองลงมา และเนื้อสัตว์อื่นๆไม่มากนัก ซึ่งล้วนแต่เป็นอาหารธรรมชาติที่มีคุณค่าทั้งสิ้น

12. คิดจะพัก คิดถึงการนอน

รู้หรือไม่ว่าการนอนหลับก็เป็นอีกหนึ่งกิจวัตรที่คุณควรทำเป็นประจำ?

ทำไมผู้เขียนถึงบอกว่าการนอนหลับก็ถือว่าเป็นกิจวัตรประจำวันได้ด้วย นั้นก็เป็นเพราะว่ามนุษย์เรานั้นมักจะเขียนตารางเวลาว่าเรานั้นต้องทำอะไรบ้างในหนึ่งวันบางคนเขียนตารางงานหรือเป้าหมยตัวเองล้วงหน้าเป็นเดือนแต่มีอยู่หนึ่งอย่างที่คุณไม่ได้เขียนลงไปในตารางเวลาของคุณ เพราะคุณคิดว่า “จะทำเมื่อไหร่ก็ได้” นั้นก็คือ “การนอน”

การนอนที่ดีและมีประโยชน์ต่อร่างกายนั้นควรนอนให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมงและจะต้องเป็นเวลาช่วง 21.00-05.00 น. ทำไมถึงต้องนอนช่วงเวลานี้ด้วยล่ะจะหลับตอนกลางวันกลางคือก็เหมือนกัน? งั้นเรามาดูประโยชน์ของการนอนตรงเวลากันก่อนแล้วคุฯจะรู้ว่าทำไม ! เพราะว่าการนอนตรงเวลานั้นมีประโยชน์หลายประการ อาทิ ทำให้สุขภาพดี ไม่เป็นโรคร้ายแรงต่างๆ อย่างโรคหัวใจ ความดันต่ำ โรคเบาหวาน ซึ่งล้วนเกิดจากการนอนไม่หลับต่อเนื่องเป็นเวลานานทั้งสิ้น การนอนหลับอย่างเพียงพอยังช่วยให้ฉลาดและความจำดีขึ้น เพราะการนอนหลับอย่างเต็มที่จะช่วยทำให้ไม่ลืม
สิ่งต่างๆ ที่กักเก็บข้อมูลมาทั้งวัน ทำให้สามารถทำสิ่งเหล่านั้นในวันต่อไปได้อย่างถูกต้องแม่นยำ แถมยังช่วยให้เข้าใจและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย และการนอนหลับอย่างเพียงพอยังทำให้มีรูปร่างที่ดีได้ เนื่องจากการนอนจะช่วยให้ระบบการเผาพลาญสามารถทำงานได้ดีนั่นเอง และที่สำคัญคือการนอนหลับในตอนกลางวันนั้นจะทำให้เราพักผ่อนได้ไม่สนิทเท่าที่ควรเพราะมักจะมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ช่วงที่เรากำลังนอนหลับนั้นแทนที่ร่างกายเราจะได้พักผ่อนแต่กลับยังต้องทำงานเหมือนเดิม เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะมีอาการมึนหัว รู้สึกอยากนอนต่อ ไม่สดชื่นและมีอารมณ์ที่หงุดหงิดง่ายขึ้นนั่นเอง ดังนั้นการนอนในช่วงตอนกลางคืนนั้นจึงมีประสิทธิภาพมากกว่านอนกลางวันนั้นเอง

นอนเร็วตื่นเช้า ทำให้มีสุภาพที่แข็งแรง ห่างไกลโรคร้าย ความจำเป็นเลิศ และหน้าตาสดใสอ่อนกว่าไว้อีกด้วย รู้อย่างนี้อย่าลืมนอนให้ตรงเวลานะจ๊ะ ^^

13. ข้ออ้างของคนโสด

“คนมีความรักมักจะดูเด็กลงไม่นิดนึง” สงสัยประโยคนี้จะใช่ไม่ได้กับสาวโสดซะแล้ว เพราะว่าบางครั้งคนโสดอาจจะดูเด็กกว่าคนที่ไม่โสดล่ะสิ…เรามาดูกันว่าประโยชน์ของการเป็นคนโสดช่วยเพิ่มความสุขให้กับเขาและเธอนั้นได้อย่างไร?

คำเตือน : ระวังจะอยากกลับมาเป็นคนโสดกันนะจ๊ะ อิอิ

ประโยชน์ของการเป็นคนโสดนั้นก็คือทำเป็นทุกอย่าง เก่งไปซะทุกเรื่อง หุ่นดีผอมเพรียวเพราะว่าคุณจะมีเวลาดูแลร่างกายของตัวเองมากขึ้น สามารถตามหาความฝันของตัวเองจนเจอได้เร็วกว่าคนมีคู่ สามารถแต่งตัวตามใจตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องแคร์ใคร นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกสองข้อที่บรรดาหนุ่มโสดและสาวโสดชอบกันมากที่สุดคือ เขาและเธอนั้นสามารถใช้เงินคนเดียวและยังสามารถตามใจตัวเองได้อีกด้วย

แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่ข้อดีหรือคนมีคู่มักจะเรียกว่าข้ออ้างของคนโสดนั้นแท้ที่จริงแล้วการเป็นโสดและการมีคู่ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความสุขและความพึ่งพอใจของแต่ละคน แต่คนโสดก็ระวังความเหงาที่จะทำให้ใจคุณนั้นหวั่นไหว ใจเต้นผิดจังหวะเมื่อได้พบรักแร อุ๋ยไม่ใช่! รักแท้นะจ๊ะเดี๋ยวจะสละโสดโดยมิรู้ตัวไม่รู้ด้วยน๋า ^^

14. การรั่วไหลของข่าวในปัจจุบัน

การรั่วไหลของข่าวสารในปัจจุบัน นับว่ามีให้เห็นอยู่มากมายนับไม่ถ้วนไม่ว่าจะเป็นข่าวด้านการเมือง ข่าวสังคม ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวอาชญากรรม  ข่าวบันเทิงและข่าวกีฬา ซึ่งในปัจจุบันมีการปล่อยข่าวสารออกมาอย่างต่อเนื่องโดยผ่านสื่อต่างๆอาทิ หนังสือพิมพ์ ทางโทรทัศน์ และทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งแหล่งข่าวที่ถือว่าเกิดการรั่วไหลของข่าวสารในด้านดีและไม่ดีมากที่สุดนั้นก็คือข่างสารผ่านทางเพจเฟสบุ๊ค โดยเพจข่าวนั้นก็มักจะมาจากแหล่งตามสำนักต่างๆ หรือมาจากบล๊อคตามเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการเผยแพร่ข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วจนบ้างครั้งยังไม่ได้ตรวจสอบว่าเรื่องราวที่นำมาเผยแพร่ต่อที่สาธารณะจริงหรือเท็จมากเพียงใด อีกทั้งการเผยแพรข่าวสารด้วยช่องทางยังเป็นการกระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เรามักจะเห็นได้บ่อยครั้งเลยครั้งเลยคือเมื่อมีการปล่อยข่าวผิดๆออกมาแล้วแหล่งข่าวต่างๆก็มักจะปล่อยข่าวแก้จนผู้ได้รับข่าวยังเราเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าเราควรจะเชื่อข่าวไหนกันดี !! โดยเฉพาะข่าวบันเทิงหรือข่าว Gossip ติดกระแสที่คนไทยนิยมอ่านและให้ความสนใจกันอย่างล้นหลาม แล้วผู้เขียนก็เขียนข่าวกันอย่างมันส์มือกันเลยที่เดียว

ดังนั้นนอกจากผู้เขียนข่าวควรจะเขียนข่าวที่เป็นความจริงแล้ว ยังควรมีศีลธรรมจรรยาที่จะนำเสนอข่าวต่างๆออกมาอย่างมีคุณภาพอีกด้วย ส่วนผู้ชมหรือผู้อ่านก็ควรมีวิจารณญาณในการชมและการอ่าน ควรไตร่ตรองให้ดีก่อนว่าข่าวนั้นมีมูลจริงเท็จมากเพียงใด แหล่งข่าวนั้นเชื่อถือได้จริงหรือไม่ เพราะหากเราพูดออกไปนอกจากจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆแก่ผู้พูดแล้วยังก่อให้เกิดผลเสียตามมาต่อผู้ที่ถูกกล่าวถึงอีกด้วย ผู้เขียนจึงขอนำหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของกาลามสูตรที่สามารถจะแนวทางให้การตัดสินใจว่าเราควรเชื่อหรือไม่มาเป็นเกร็ดความรู้เพิ่มเติมกัน

การรั่วไหลของข่าวสารในปัจจุบันสามารถนำหลักกาลามสูตร 10 มาใช้ได้อย่างไร?

หลักกาลามสูตรนั้นว่าด้วยเรื่องของสิ่งที่ไม่ควรเชื่อ 10 ประการ ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับจากหลักกาลามสูตร คือ การไม่เชื่ออะไรโดยง่าย โดยปราศจากการไตร่ตรอง คิด วิเคราะห์ ถึงความจริงด้วยการปฏิบัติ และพิสูจน์ซ้ำๆ จนทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องที่ถูกต้องตามความเป็นจริง ทำให้เราเป็นคนรอบคอบ มีเหตุผล ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ อีกทั้งหลักกาลามสูตรทำให้เราไม่เป็นคนยึดในกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ พิจารณาด้วยปัญญาว่าสิ่งไหนเป็นประโยชน์ และเป็นโทษ เป็นสิ่งที่เราควรละ หรือถือปฏิบัติตามมา เพราะ การเชื่อในสิ่งที่ผิดๆ ทำให้เกิดวิจิกิจฉา(ความลังเลสงสัย) เกิดขึ้น เป็นผลทำให้เราและคนอื่นเดือดร้อน ซึ่งเราจะต้องฝึกตนเองให้เป็นผู้ใฝ่รู้ เพราะจะทำให้เรามีความรู้พื้นฐานที่กว้าง และมีความคิดที่กว้าง ไม่ตัดสินใจสิ่งใดๆโดยไม่มีเหตุผลหรือความรู้พื้นฐาน เพื่อเป็นการแสวงหาความจริงในข้อที่เราเกิดความสงสัย คือ

1.  อย่าปลงใจเชื่อสิ่งที่ฟังตามกันมา

2.  อย่างปลงใจเชื่อสิ่งที่ถือตามกันมา

3.  อย่าปลงใจเชื่อด้วยการเล่าลือ

4.  อย่างปลงใจเชื่อด้วยการอ้างอิงจากตำรา

5.  อย่าปลงใจเชื่อเพราะตรรกะ (การคิดเอาเอง)

6.  อย่าปลงใจเชื่อเพราะการอนุมาน (คาดคะเนตามหลักเหตุผล)

7.  อย่างปลงใจเชื่อด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล

8.  อย่างปลงใจเชื่อเพราะเข้าได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้

9.  อย่าปลงใจเชื่อเพราะมองรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้

10. อย่าปลงใจเชื่อเพราะถือว่าท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา

ดังนั้นการที่ผู้เผยแพร่และผู้ฟังข่าวสารหรือการได้ยิน ได้อ่านเรื่องอะไรก็ตาม ควรมีสัมมาวาจา คือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ คลายความสงสัย สร้างกำลังใจ และชักนำสู่การปฏิบัติให้เกิดสติปัญญา โดยการพูดความจริง คือสิ่งที่กำลังจะเผยแพร่หรือนำมาพูดคุยกันนั้น เปนเรื่องที่มีมูลความจริงแน่นอนแล้ว ไม่เปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ไม่หลอกหลวงให้ผู้อื่นหลงเชื่อความคิดผิดๆของตน ใช้ถ้อยคำที่สุภาพ ถูกเวลาและเป็นประโยชน์อก่ผู้ฟังหรือผู้ได้รับข่าวสารนั้นๆ และสุดท้ายเลยคือสื่อที่เรานำเสนอออกไปจะต้องไม่ทำให้เกิดความแตกแยกภายในสังคม(ความสามัคคี)นั่นเอง

BOREDPANDA

Comments




Pin It on Pinterest

Share This