Marshall Mode EQ

รีวิว Marshall Mode EQ – หูฟัง In ear ขั้นเทพ คุ้มค่าเกินราคา

ถ้าใครที่กำลังมองหาหูฟังดีๆซักอัน 65blogs อยากให้ลองเก็บ Marshall  Mode EQ ตัวนี้ ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจ เพราะว่ามันดีซะเหลือเกิน ในชนิดที่กล้าชนทุกค่ายจริงๆ

Review Marshall Mode EQ

หากจะพูดถึงการนั่งพักผ่อน หรือการนั่งทำงานชิวๆ สบายๆ แบบเป็นส่วนตั๊วส่วนตัว ล่ะก็คงหนีไม่พ้นการเปิดเพลงที่ชอบคลอไปด้วยเบาๆ โยกหัวส่ายไปมาตามจังหวะเพลง ปลีกตัวเองออกจากคนรอบข้างและสังคมที่แสนจะวุ่นวาย ในชนิดที่ว่าตะโกนเรียกแล้วยังไม่ได้ยินแล้วนั้น 65blogs ขอแนะนำหูฟังสุดเจ๋งที่เหล่าสาวกที่แสนจะชื่นชอบหูฟังแนว In-ear ต้องรีบสอยมาใช้อย่างแน่นอนเลยล่ะครับ (คอนเฟริม!) เจ้าหูฟังตัวนี้มีชื่อว่า Marshall Mode EQ นั้นเอง เจ้าหูฟังตัวนี้สามารถรับรู้อารมณ์และถ่ายทอดอารมณ์เพลงผ่านทางเสียงได้อย่างดี หรือจะเรียกว่า ฟินเว่อร์เลยแหละครับ เชื่อว่ามีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผู้ที่ชอบฟังเพลงมองหาอยู่นั่นก็คือ การที่จะหา In-ear ที่ใส่สบาย สามารถใส่ได้นาน และที่สำคัญคือได้เสียงที่ครบอัฒรสนั้น ไม่ใช่ว่าหูฟังทุกตัวจะทำได้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานั้นสามารถพบได้ในหูฟังขั้นเทพ Marshall Mode EQ ตัวนี้

Marshall Mode EQ

มาดูกันว่าในกล่องสี่เหลี่ยมสีดำนี่มีอะไรบ้างน๋า…

Marshall Mode EQ ตัวนี้มาพร้อมกับการดีไซน์ ที่เป็นเอกลักษณ์ของทาง  Marshall โทนสีดำ-เทา ที่ดูคลาสสิค และเพิ่มความ premium ของการดีไซน์เข้าไปด้วยการเคลือบทองให้ดูหรูหรา และแตกต่างจากรุ่น Marshall Mode ธรรมดา ส่วนรายละเอียดและลูกเล่นของ Marshall Mode EQ ตัวนี้มีอะไรบ้างเราไปดูกันเลย…

Marshall Mode EQ

1. Microphone

Marshall Mode EQ ตัวนี้มาพร้อมกับ microphone ที่จะทำให้คุณสามารถสนทนา หรือรับสายได้ทันทีเมื่อมีสายเรียกเข้า ประมาณว่า Call ขึ้นปุ๊บคุยได้ปั๊บ และเพลงก็จะหยุดไปเอง ซึ่งในการใช้งานจริงสะดวกมั่กมากๆ มันทำให้คุณสามารถฟังเพลงได้ต่อเนื่องทันทีหลังจากที่จบการสนทนา

Marshall Mode EQ

2. Remote

ปุ่มรีโมทสีทองสวยงาม ที่มาพร้อมการใช้งานสองรูปแบบคือ แบบแรกสามารถรับและวางสายโทรศัพท์ในขณะที่มีสายเข้ามา แบบที่สองคือการฟังเพลงทั่วไป มีรายละเอียดดังนี้

            เมื่อเรากด 1 ครั้ง ปุ่มรีโมทจะทำงานเป็นปุ่ม Play / Pause (เล่น – หยุด เพลง)

            เมื่อเรากด 2 ครั้ง ปุ่มรีโมทจะทำงานเป็นปุ่ม Next (เปลี่ยนเพลงไปเพลงต่อไป)

           เมื่อเรากด 3 ครั้ง ปุ่มรีโมทจะทำงานเป็นปุ่ม Previous (เปลี่ยนเพลงไปเพลงก่อนหน้าหรือเริ่มต้นเพลงเดิมใหม่)

Marshall Mode EQ

3. Size Sleeves หูฟังสุดล้ำ…

ปกติแล้วหูฟังทั่วไปส่วนมากจะมีขนาดเดียวซึ่งทำให้เรามักรู้สึกฟังแล้วไม่สบายหู ฟังๆอยู่แล้วหูฟังหลุดบ้าง หลวมบ้าง จึงเกิดอาการ “โอ้ย..ไม่ฟงไม่ฟังมันแล้ว…”  แต่ปัญหานี้จะหมดไป เพราะเจ้าหูฟังขั้นเทพตัวนี้มีขนาดของหูฟังให้เลือกสรรถึง 4 ขนาดคือ S, M, L, และ XL (เหมือนไซส์กางเกงเลยว่าม่ะ 555 ) ซึ่งคุณสามารถถอดเปลี่ยนให้เหมาะกับขนาดของช่องหูของคุณ ซึ่งจากการใช้งานจริง สาวก In-ear จะทราบกันดีว่าหากเปลี่ยนขนาดหูฟังให้กระชับกับหูเราแล้ว จะได้เสียงที่ครบและแน่นกว่าเดิม (เสียงไม่ leak ไม่รั่ว) และทำให้คุณใส่สบาย ใส่ได้นานอีกด้วย

Marshall Mode EQ

4. L-Plug ขนาด 3.5 mm.

แจ๊คเสียบขนาดมาตรฐานทั่วไป 3.5 นิ้วที่เคลือบสีทอง ให้ความรู้สึกพรีเมี่ยมกว่าหูฟังธรรมดาทั่วไป และมีสปิงที่ติดอยู่ที่หัวกับสายหูฟัง เพื่อป้องกันสายชำรุดบริเวณนี้ด้วย

Marshall Mode EQ

แค่ภาพนอกก็ดูหรูหราแล้วใช่มั้ยครับ แต่ภายในคุณภาพเจ๋งกว่านั้นอีกนะครับ

Technical

Marshall Mode EQ

5. Mode EQ Switch

จุดเด่นสำคัญที่ทำให้เจ้า Marshall Mode EQ ตัวนี้แตกต่างจากเจ้า Mode ธรรมดาคือ ปุ่มที่สามารถเร่งเสียง Equalizer ในช่วงความถี่ต่ำได้ หรือจะเรียกว่า เร่งเบสให้แน่นและหนาขึ้นนั่นเอง สำหรับคอเพลงแนว Punk / Rock ที่ชอบเบสจัดๆ ต้องลอง หรือหากจะอยากฟังธรรมดา สบายๆชิลๆ ก็ปรับเป็นโหมดธรรมดาได้

Marshall Mode EQ

จากการใช้งานทั่วไปมาเป็นเวลา 2-3 อาทิตย์บอกเลยว่า ติดใจ 555 นั่นเป็นเพราะ ระดับเสียงที่ครบรันของเข้า Marshall  Mode ตัวนี้ที่ให้คุณดื่มด่ำกับเพลงได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเพลงแนวไหน เจ้า Marshall Mode ตัวนี้เอาอยู่หมดครับ รับรอง ส่วนตัวผมเป็นคนชอบฟังแนว Progressive Rock ซึ่งวงประจำที่จะหนีไปไหนไม่ได้เลยก็คือวง Dream Theater การที่ได้ฟังเพลงที่มีเครื่องดนตรีหลายตัว แถมแต่ละตัวหลายชิ้นอีก เช่นกลอง คีย์บอร์ด เป็นต้น ยอมรับเลยครับว่าเสียงที่ได้รับผ่านเจ้า Marshall Mode ตัวนี้ครบจริงๆ มีมิติดีมากๆไม่กว้าง ไม่แคบจนเกินไป เหมือนกับว่าจับเครื่องดนตรีที่เราฟังทุกตัวมากองไว้ตรงหน้า แล้วแยกตำแหน่งได้อย่างลงตัวเลย

Marshall Mode EQ

 Range เสียงที่กว้างพอให้ได้ยินเสียง lead กีตาร์ตั้งแต่ปลายยันคอกีตาร์ Echo กีตาร์นี่ถือว่าแจ๋วมากๆฟังเแล้วมีมิติเคลิ้มเลยทีเดียวครับ เสียงกลองที่ครบทุกตัว เสียงคีย์บอร์ดที่ครบทุกโน๊ตและมี Dynamic ที่ดี ขนาดเสียงคลอเบายังได้ยิน และที่สำคัญเสียงเบสเองจากออกแนวนุ่ม ไม่เป็นลูกกระแทกมากจนเกินไป ถือว่าเป็นอะไรที่ลงตัวเอามากๆครับ สู้กับหูฟังพวกระดับ Top เกินหมื่นได้ไม่น้อยหน้าเลยหละครับ

Marshall Mode EQ

นอกจากเพลงแนว Rock ที่ผมชอบฟังแล้ว เพลงสากลตลาด พวก Billboard เองผมก็ชอบฟังเช่นเดียวกัน  เพลงทั่วไปฟังได้สบายๆเลยครับ เอาอยู่หมด ช่วงระดับร้องเสียงกลางๆไปถึงเสียงสูง ถือว่ามาครบไม่มีเพี้ยนที่เสียงสูง หรือแหลมจนบาดหูครับ เพลงปราบเซียนอย่าง Radioactive ของ Imagine Dragons ที่มีเสียงกลองที่ทุ้ม และออกแนวเสียงซ่าๆสั่นๆ เจ้า Marshall Mode ตัวนี้พอไหวเลยทีเดียวครับ เสียงสั่นซ่าๆจะคลอด้านหลัง ไม่โดนดึงมาเป็นจุดเด่น ทำให้ไม่บังเสียงเครื่องดนตรีหลัก

Marshall Mode EQ

หรือจะเป็น A thousand years ของ Christina Perri ที่ได้รับความนิยมมากๆ เสียงร้องเพลงนี้จะเป็นจุดเด่น ท่อนที่ขึ้นเสียงสูงดู Smooth มากๆเลยอยากจะบอก ผมเองเคยฟัง In-ear ตัวระดับล่างๆกว่านี้หน่อยหลายตัว ท่อนนี้นี่สูงจนบาดหูเลยครับ แต่เจ้า Marshall Mode ตัวนี้รับมือได้อย่างสบายๆ หรือ จะเป็นพวกฟังสบายๆกีตาร์ชิวๆอย่างพวก Ed Sheeran ก็ฟังได้ลื่นทีเดียว เสียงกีตาร์ออกมาคมใช้ได้ครับ เรียกได้ว่าคุณภาพเสียงที่ออกมานี่ขึ้นอยู่กับ Production เลยครับ ถ้าทำมาดี เจ้า Marshall Mode ตัวนี้ขับออกมาได้ดีแน่นอน

Marshall Mode EQ

ขนาดของหูฟังเหมาะกับทุกเพศ ทุกวัยขนาด Rilakkuma ยังใส่ได้สบาย 55 ขำๆนะครับ

ในแง่ของการเปรียบเทียบกับค่ายอื่นๆ ผมได้มีโอกาสได้ลองตัวที่ใกล้เคียงกันของค่าย Sennheiser ตัวหนึ่ง ในรุ่นที่ราคาพอๆกัน ต้องบอกเลยว่าสูสีกันมากๆเลยทีเดียว จุดเด่นของตัวที่ทางค่าย Sennheiser ขายจะเป็นการขับเสียงที่เป็นธรรมชาติ ซึ่ง ทำออกมาได้ดีเท่าๆ Marshall Mode EQ เลยทีเดียว เสียงเบสของค่ายนั้นออกแนวแหลมคม เป็นลูกมากกว่า Marshall ตัวนี้ แต่ทว่า ก็อาจจะต้องแลกมาซึ่งเสียงสแปรชของพวกเอฟเฟกซ์กีตาร์พวกแนวร็อค ที่อาจจะบาดหูไปสักหน่อย ซึ่ง Marshall Mode EQ ตัวนี้จะจัดการพวกนั้นได้ดีกว่า อันนี้ก็แล้วแต่แนวของคนฟังด้วยนะครับ

Marshall Mode EQ

สรุป

Marshall Mode ตัวนี้ทำคุณภาพออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมากๆ เสียงที่ขับออกมา มีมิติที่ดี Stage ของเสียงกลางๆไม่กว้าง และไม่แคบมาก เสียงที่ขับออกมาค่อนข้างตรงเอามากๆตามคุณภาพของการทำ Production เลย การเปิดโหมด EQ จะทำให้ดึกเสียงที่ย่านความถี่ต่ำขึ้นมา ทำให้เสียงที่ได้ยินทุ้ม แน่นขึ้น เหมาะกับพวกเพลง Rock หรือเพลงที่มีเครื่องดนตรีบรรเลงที่เป็นพวกกลองทุ้มๆจะทำให้เสียงพวกนั้นเด่นเพิ่มขึ้นมา แต่จะไม่ไปกวนเสียงย่านความถี่คนร้อง หรือเสียงย่านสูงๆครับ ต้องยอมรับเลยหละครับว่า Marshall Mode ตัวนี้ให้คุณภาพเสียงที่คุ้มค่า เกินราคาที่ท่านจ่ายไปแน่นอน

Marshall Mode EQ

ข้อดี

  • เสียงที่ได้มีมิติมากๆ
  • เสียงที่ออกแนวซ่าๆ พวกเอฟเฟกซ์กีตาร์ที่เสียงซ่าๆมากๆ ตัวนี้จะจีดการได้โอเค
  • มีโหมด EQ ที่ช่วยดึงเสียงย่านความถี่ต่ำๆขึ้นมา ทำให้เพลงได้อรรถรสมากขึ้น
  • เสียงเบสไม่คมมาก ช่วยให้ฟังสบายๆมากขึ้น สำหรับคนชอบแนวชิลๆ ไม่หนักมาก
Marshall Mode EQ

ข้อเสีย

  • เสียงเบสที่ไม่เป็นลูก หรือเสียงกลองบางชิ้นที่ควรจะแหลมเด่น ไม่เด่นเท่าที่ควร ทำให้ฟังแล้วรู้สึกอั้นๆนิดๆ สำหรับคอเพลงโหดๆหน่อยอาจจะไม่ชอบมากนัก
  • Stage ของเสียงอยู่ในระดับกลางๆ ทำให้เพลงที่เครื่องดนตรีมากๆชิ้นอาจจะไม่ดีเท่าหูฟังที่ Stage กว้างๆ
[TS-VCSC-Spacer height=”17″]

ขอขอบคุณ

ASH ASIA INTERNATIONAL LTD.  สำหรับ Mashall Mode EQ ตัวนี้ที่ให้โอกาสทาง 65blogs เราได้รีวิว ในโอกาสหน้าอาจจะมีรีวิว In ear Battle ในราคาระดับที่บ้านๆเอื้อมถึงอย่าง Sennheiser vs Mashall ก็ได้ครับ ขอให้ทุกคนสนุกกับการฟังเพลงครับผม

บทสรุป

8.9
รีวิวจาก 65blogs.com

The Breakdown


Desing
8.7
Sound Quality
9.2
Hardware Quality
8.5
Value
9
Overall
8.9




Pin It on Pinterest

Share This